“โปรยเขื่อนทั่วฟ้า : ความล้มเหลวของการจัดการน้ำภาครัฐ”

1382160_610343539012522_1656715397_n

 

บทความนี้เป็นต้นฉบับส่งตีพิมพ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ฉบับที่ 1116  18  ตุลาคม 2556 Photo by Shineru

 

ไชยณรงค์  เศรษฐเชื้อ

 

ในช่วงนี้ ดูเหมือนความขัดแย้งเรื่องเขื่อนในสังคมไทยได้ทวีความเข้มข้นมากขึ้น  โดยเฉพาะเขื่อนในแผนการจัดการน้ำ 3.5แสนล้านบาท  เพราะในด้านหนึ่งรัฐบาลกำลังเร่งผลักดันเขื่อนหฃายแห่งรวมทั้งเดินสายแจกเขื่อนทั่วประเทศ  นอกจากนั้น ”คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย”  หรือ กบอ. ยังมีแผนจัดโรดโชว์เพื่อโปรโมทโครงการบริหารจัดการน้ำ  3.5 แสนล้าน  เช่น ในวันที่  18  พ.ย.นี้จะจัดที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร และ 20 พ.ย.มหาวิทยาลัยราชภัฎชัยภูมิ

 

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เราจะเห็นว่าคนในสังคมรวมทั้งชุมชนที่จะได้รับผลกระทบก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนยืนคัดค้านแผนการสร้างเขื่อนภายใต้โครงการดังกล่าวในหลายพื้นที่  ทั้งที่แม่วงก์  จ.นครสวรรค์  เขื่อนยมบน-ยมล่างที่สะเอียบ  จ.แพร่ และ  จ.พะเยา  เขื่อนแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่  เขื่อนสะพุงเหนือ  จ.ชัยภูมิ  ฯลฯ 

 

ความจริงแล้ว หากพิจารณา  “ประวัติศาสตร์ความคิดเขื่อน” ในบริบทของการพัฒนาของรัฐไทย รัฐไทยได้รับเอาความคิดการสร้างเขื่อนเข้ามาตั้งแต่กลางทศวรรษ  2490 โดยการสนับสนุนของธนาคารโลก  (World Bank) ซึ่งเขื่อนนอกจากมีฐานะเป็นโครงสร้างพื้นฐานอันดับต้นๆที่รัฐจะต้องดำเนินการแล้ว ในเชิงอุดมการณ์ การสร้างเขื่อนยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างชาติ (nation building) ด้วย

 

แต่การสร้างเขื่อนก็ได้นำมาซึ่งความขัดแย้งในสังคมไทย  นับแต่รัฐไทยเริ่มสร้างเขื่อนแรกคือเขื่อนภูมิพล  จ.ตาก  โดยในระดับชาติการสร้างเขื่อนแห่งนี้ถูกต่อต้านโดยสมาชิกรัฐสภาจากภาคอีสานที่มองว่าเป็นการนำภาษีประชาชนไปใช้ ขณะที่คนอีสานส่วนใหญ่ยังยากจนและต้องการการพัฒนา  ทำให้รัฐบาลจอม ป.พิบูลสงคราม แก้ปัญหาโดยการขอพระราชทานนามเขื่อนจากพระมหากษัตริย์เพื่อปกป้องไม่ให้โครงการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้าน

 

ขณะที่ในระดับพื้นที่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนแห่งนี้หลายพื้นที่ยอมจำนน  อพยพออกจากบ้านเกิด  ขณะที่บางกลุ่มได้นำตำนานพระร่วงมาใช้ต่อสู้กับรัฐ  โดยเรียกผู้คัดค้านว่า “พระร่วงองค์ที่สอง”  ซึ่งเป็นพระร่วงที่มากู้ประชาชนไม่ใช่กู้ชาติ

 

ต่อมาในช่วงสงครามเย็นตั้งแต่ทศวรรษ2500-2530 ที่รัฐไทยเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐบาลทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตยก็มีนโยบายสนับสนุนการสร้างเขื่อน  โดยพึ่งพาสถาบันการเงินระหว่างประเทศ  เช่น ธนาคารโลก  สถาบันการเงินของประเทศฝ่ายเหนือหรือประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมทั้งพึ่งพาเทคนิคและความรู้จากองค์กรช่วยเหลือระหว่างประเทศจากประเทศฝ่ายเหนือเช่น  USIAD JICA  เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในปลายทศวรรษ  2530 ข้ออ้างในการสร้างเขื่อนของรัฐไทยที่อ้างว่าการสร้างเขื่อนเป็น  “การพัฒนา”  ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ความคิดเขื่อนถูกท้าทายจากนักศึกษา  ชาวบ้าน ประชาชน  นักสิ่งแวดล้อม  และนักวิชาการ ในกรณีเขื่อนน้ำโจน  จนทำให้รัฐบาลพล.อ.เปรม  ติณสูลานนท์ ต้องยุติโครงการนี้หลังจากมีการต่อสู้คัดค้ายอย่างยาวนาน

 

การที่ความคิดเกี่ยวกับเขื่อนของรัฐไทยถูกท้าทายนี้เอง บรรดานักสร้างเขื่อนในรัฐไทยก็ได้เสนอวาทกรรมใหม่ให้เกิดความชอบธรรมว่าเพื่อเป็นการแก้ปัญหาภัยแล้ง  ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในสมัยรัฐบาล  พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน และรัฐบาลพล.อ.สุจินดา คราประยูร  ที่มาจากการรัฐประหาร  และข้ออ้างนี้ก็ปรากฏชัดในกรณีของเขื่อนแก่งเสือเต้น  และโครงการผันน้ำ-โขง-ชี-มูล  และเขื่อนปากมูล

 

ข้ออ้างในการสร้างเขื่อนก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปลายปี  2554 โดยนักสร้างเขื่อนได้หยิบเอาการป้องกันอุทกภัยมาสร้างความชอบธรรมให้กับเขื่อน  โดยการผุดแผนการจัดการน้ำ  3.5 แสนล้านบาทขึ้นมา ซึ่งแผนนี้มีทั้งการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่และการผันน้ำ  แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วเขื่อนจำนวนมากในแผนนี้มีมาก่อนหน้านี้นานแล้ว บางเขื่อนก็วางแผนไว้ตั้งแต่ทศวรรษ 2510 เช่น เขื่อนโป่งขุนเพชร ที่ชัยภูมิที่วางแผนโดยนักสร้างเขื่อนจากอเมริกา  

 

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ยิ่งเห็นได้ชัดถึงการหยิบเอาปัญหาอุทกภัยมาสร้างความชอบธรรมในการสร้างเขื่อน  ดังเช่น ที่กบินทร์บุรีและชัยภูมิที่เกิดอุทกภัยและนักการเมืองในรัฐบาลได้ช่วงชิงนำเสนอโครงการเขื่อนล้อมเมืองและเขื่อนภายใต้แผนการจัดการน้ำ3.5 แสนล้านบาททันที ท่ามกลางข้อสงสัยของคนในท้องถิ่นที่มองว่าน้ำท่วมครั้งนี้คือการจงใจเพื่อทำให้เกิดภัยพิบัติเพื่อจะได้นำมาเป็นข้ออ้างในการสร้างเขื่อน

 

ประวัติศาสตร์ความคิดเขื่อนที่กล่าวมาทั้งหมดทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า  “ข้ออ้าง”  ในการสร้างเขื่อนลื่นไหลจากการสร้างเขื่อนเพื่อ  “การสร้างชาติ”  และ  “การพัฒนา”  มาเป็น “การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม”  แม้ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว  เขื่อนและการจัดการน้ำที่เป็นการขวางทางไหลของน้ำ  โดยตัวมันเองคือที่มาของปัญหาเหล่านี้  

ท่ามกลางข้ออ้างของนักสร้างเขื่อนที่มีลักษณะลื่นไหลตลอดเวลาดังที่กล่าวมา ประเด็นสำคัญที่ผมคิดว่าเป็นหัวใจของการจัดการน้ำแบบนี้  แต่ไม่ค่อยมีการนำมาถกเถียงกันในสังคมไทยก็คือความคิดที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังโครงการเหล่านี้

 

1.รัฐต้องการรวมศูนย์อำนาจในการควบคุมน้ำมาไว้ที่รัฐโดยที่โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้คือเครื่องมือสำคัญของรัฐ รากเหง้าความคิดของการสร้างเขื่อนและระบบชลประทานที่เป็นการรวมศูนย์อำนาจการจัดการน้ำไว้ที่รัฐเกิดขึ้นในปีค.ศ.1886   เมื่อ  JohnWesley Powell ศาสตราจารย์ทางด้านภูมิศาสตร์จากอิลลินอย บิดาแห่งการสร้างเขื่อนได้เสนอว่าน้ำไม่ควรถูกจัดการโดยเกษตรกรหรือชุมชน แต่รัฐควรเข้าจัดการ และไม่ควรแยกย่อยการจัดการน้ำออกเป็นส่วนๆดังนั้นจึงควรมีการเก็บกักน้ำไว้ในอ่างขนาดยักษ์ ซึ่งแนวคิดนี้ได้ส่งอิทธิพลทางความคิดต่อการจัดการน้ำของรัฐไทยมาจนถึงปัจจุบัน

 

2.รัฐไทยมีวิธีคิดทางเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับขนาดของโครงการ (Economy of scale) ที่ว่า “ยิ่งโครงการมีขนาดใหญ่  ก็ยิ่งดี”  ดังนั้น โครงการเหล่านี้จึงเกิดขึ้นมาภายใต้วิธีคิดแบบนี้ 

 

ที่สำคัญ  วิธีคิดนี้ได้ทำให้เกิด “การเมืองของการรวมหัวแสวงหาประโยชน์” ดังเขื่อนทุกเขื่อนที่ผ่านมาที่ล้วนแต่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนข้ามชาติ  ขณะที่แผนการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทเราก็จะเห็นถึงการรวมหัวกันของนักการเมือง ทุนไทย และทุนข้ามชาติทั้งจากจีนและเกาหลี

 

ผลที่ตามมาก็คือ  ทั้งรัฐไทย บรรดานักสร้างเขื่อน และนักการเมืองทั้งหลายจะไม่พิจาณาทางเลือกอื่นๆ ในการจัดการน้ำทั้งน้ำแล้งและน้ำท่วม  ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว  ยังมีทางเลือกอีกมากในการจัดการน้ำ 

ทางเลือกที่ผมเห็นว่าไม่ถูกนำมาพิจารณาก็คือ  การปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเขื่อนและชลประทานต่างๆ  ที่มีอยู่  การวางแผนการจัดการที่ดินใหม่ การควบคุมการใช้ที่ดินไม่ให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน  การพัฒนาเมืองและอุตสาหกรรม ไปกระทบต่อพื้นที่ชุ่มน้ำที่รองรับน้ำท่วมหรือกีดขวางทางน้ำ ปรับปรุงถนนที่มีอยู่แล้วไม่ให้กีดขวางทางน้ำ  รวมทั้งการยกเครื่องการบริหารจัดการน้ำใหม่โดยการให้สิทธิกับประชาชนในลุ่มน้ำในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง ไม่ใช่รวมศูนย์ที่รัฐเพียงฝ่ายเดียว

One Response to “โปรยเขื่อนทั่วฟ้า : ความล้มเหลวของการจัดการน้ำภาครัฐ”

  1. Ormbun Thipsuna พูดว่า:

    จัดเวทีแจกเขื่อนทั่วประเทศไทย ทั้ง 77 จว. ที่อีสานไม่ใช่เฉพาะสกลนครและชัยภุมิแล้ว

ใส่ความเห็น